ลุยน้ำท่วม

ลุย “น้ำท่วม” อย่างไรไม่ให้รถพังและประกันจะคุ้มครองอย่างไร

[vc_row][vc_column][vc_column_text]ในช่วงหน้าฝนหรือฝนหลงฤดูอันอาจเนื่องจากพายุ ลมมรสุมเคลื่อนผ่านประเทศไทย ฯลฯ ทำให้มีสายฝนกระหน่ำชุ่มฉ่ำ ถ้าหนักมากก็อาจทำให้เกิดปัญหากับคนใช้รถใช้ถนนได้ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ถ้าฝนตกหนักต่อเนื่องกัน จะทำให้น้ำท่วมขังถนนได้ง่าย ระบายกันไม่ทัน และยิ่งโดยเฉพาะหากจำเป็นต้องขับรถลุยน้ำ อาจทำให้รถพังได้ ซึ่งถ้าหากเรามีประกันภัยรถยนต์ที่มีความคุ้มครองน้ำท่วมก็สบายใจได้ค่ะ แต่ก็คงจะดีไม่น้อยหากเราจะช่วยบรรเทาความเสียหายของรถเมื่อมีความจำเป็นต้องขับลุยน้ำได้บ้างหรือให้ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ เลย และในวันนี้น้องกันเองก็นำเคล็ดลับในการขับรถลุยน้ำรอการระบายอย่างไรไม่ให้รถพังมาฝากกันค่ะ[/vc_column_text][vc_single_image image=”312818″ img_size=”large” alignment=”center” image_hovers=”false”][vc_column_text]

เคล็ดลับการขับลุยน้ำท่วม

1.ประเมินระดับน้ำก่อนว่ามีความลึกขนาดไหน

พอที่จะขับรถยนต์ฝ่าไปได้ไหม สิ่งสำคัญคือต้องมั่นใจเพราะไม่อย่างนั้นเครื่องยนต์อาจได้รับความเสียหายได้ หากระดับน้ำสูงถึงระดับฟุตบาท สำหรับรถเก๋งน้ำอาจไหลเข้าไปในตัวรถได้ สิ่งที่ตามมานอกจากรถอาจขึ้นสนิมแล้ว ความชื้น เชื้อรา ก็อาจเกิดได้ ดังนั้นหากไม่มั่นใจก็ไม่ควรขับรถลุยไปจะดีกว่า

2.หากตัดสินใจขับลุยน้ำมาต้องขับรถอย่างช้าๆ เรื่อยๆ

ไม่ควรเร่งเครื่องเพื่อไม่ให้น้ำเข้าสู่ระบบจุดระเบิด เพราะจะทำให้เครื่องยนต์ดับ และต้องปิดระบบหล่อเย็นป้องกันมอเตอร์พัง

3.เว้นระยะห่างจากรถคันหน้าพอสมควร

และเมื่อมีรถคันอื่นสวนทางมาก็ต้องลดความเร็วเพื่อป้องกันไม่ให้ระลอกน้ำเข้ามาในเครื่องยนต์ ทำให้เสียหายได้

4.เมื่อผ่านการขับรถลุยน้ำมาแล้ว ควรไล่ความชื้นออกจากระบบเบรก

ด้วยการแตะเบรกเบาๆในขณะขับ แต่ต้องดูจังหวะด้วยหากมีรถขับตามหลังมา

การขับรถฝ่าน้ำท่วมขังต้องระมัดระวังเพราะบางทีถนนอาจจะมีหลุมบ่อ หรือพวกเศษขยะ ตะปู ที่ลอยมาตกค้างอยู่โดยที่เราไม่ทันสังเกตอาจทำให้รถยนต์ได้รับความเสียหายได้ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยหากมีทางเลี่ยงน้ำท่วมขังได้ก็ควรเลี่ยงนะคะ

นอกจากน้ำท่วมแล้ว ฝนตกใหม่ก็ยังทำให้ถนนลื่น เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของอุบัติเหตุและการลื่นไถลของรถ เพราะน้ำจะไปคั่นระหว่างหน้ายางกับพื้นถนนเสมือนวิ่งอยู่บนน้ำแทนที่จะเป็นพื้นถนนตามสภาพอากาศปกติ และเศษฝุ่นเศษดิน คราบน้ำมันที่กระจายอยู่บนท้องถนนมารวมตัวกันกับน้ำ ทำให้พื้นถนนเป็นเสมือนโคลน และยังมีสาเหตุอื่นๆ ในการขับขี่ที่อาจทำให้เกิดรถลื่นไถล

การขับขี่ที่อาจทำให้รถลื่นไถล

  • การเบรกรถอย่างกะทันหันขณะขับรถด้วยความเร็วสูง
  • การขับรถเร็วบนถนนที่ผิวการจราจรเปียกและลื่น(รวมถึงคราบน้ำมัน)
  • การหักพวงมาลัยอย่างรุนแรงในขณะขับรถด้วยความเร็วสูง
  • การเบรกรถในทางโค้งหรือวงเลี้ยง
  • การเบรก หรือหักพวงมาลัยเลี้ยวพร้อมกัน
  • การเหยียบคลัตช์ขณะเข้าโค้งหรือเลี้ยว
  • การใช้เบรกมืออย่างกะทันหันขณะรถมีความเร็ว

โดยคุณสามารถรับมือกับเหตุการณ์นี้ได้ หากรู้สึกว่ารถลื่นไถลให้ถอนคันเร่งและหักพวงมาลัยไปในทิศทางเดียวกับรถที่ไถล เมื่อรถตั้งลำได้แล้วค่อยบังคับพวงมาลัยคืนให้ตรง อย่าเหยียบเบรกในระหว่างที่รถกำลังลื่นไถลเพราะอาจทำให้รถเกิดพลิกคว่ำได้ค่ะ[/vc_column_text][vc_single_image image=”312819″ img_size=”large” alignment=”center” image_hovers=”false”][vc_column_text]และเมื่อต้องขับรถในขณะฝนกำลังตก ซึ่งนอกจากจะทำให้ถนนลื่นแล้ว ยังทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นถนนลดน้อยลง น้องกันเองได้หาเทคนิคในการขับรถเมื่อเจอถนนลื่นมาให้ดังนี้ค่ะ

1.ต้องขับรถด้วยความเร็วต่ำ
2.ช่วงฝนตกใหม่ถนนจะลื่นกว่าปกติ เพราะช่วงแรกๆที่ฝนตกจะมีโคลน ดินทรายที่มารวมตัวที่พื้นผิวถนนทำให้ถนนลื่นได้ง่าย
3.ควรทิ้งระยะห่างจากคันหน้าให้ห่างพอสมควรไม่ควรขับใกล้เกินไป
4.พยายามใช้เบรกให้น้อย อย่าเบรกยาวๆ ควรใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น
5.หลีกเลี่ยงการเปิดไฟฉุกเฉิน เพราะเพือนร่วมทางอาจเข้าใจผิดว่ารถเสียข้างทาง

น้ำท่วมรถพัง เคลมประกันได้ไหม? ประกันจะรับผิดชอบหรือไม่? แล้วรับผิดชอบแค่ไหน? ซ่อมหรือเปลี่ยนคันใหม่ให้? ขั้นตอนในการแจ้งเคลมต้องทำอย่างไร น้องกันเองมีคำตอบค่ะ

ขั้นตอนการเคลมประกันรถยนต์กรณีน้ำท่วมรถ

1.โทรแจ้งเคลมกับบริษัทประกันภัยเพื่อให้มาตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้น หรือหากไม่สะดวกโทรแจ้งตอนนั้น ก็ให้ถ่ายรูปรถยนต์

ในขณะที่เกิดน้ำท่วมรถไว้เป็นหลักฐาน

2.บริษัทประกันภัยอาจไม่สะดวกไปตรวจสอบในขณะน้ำท่วม หลังน้ำลดแล้วให้ผู้เอาประกันภัยโทรแจ้งบริษัทประกันภัยทันทีโดยไม่ชักช้า

จากนั้นบริษัทประกันภัยก็จะติดต่อนัดหมายผู้เอาประกันภัยเพื่อนำรถยกเข้าไปยกรถยนต์ที่เสียหาย อย่าลืมสอบถามว่าได้ยกรถยนต์ไปไว้ที่ศูนย์ หรืออู่ไหนเพื่อเราจะได้ติดตามและติดต่อได้สะดวก

3.หลังจากนั้นอู่หรือศูนย์ก็จะทำการตรวจสอบความเสียหาย ประเมินรายการจัดซ่อม และนำเสนอบริษัทประกันเพื่อขอพิจารณาอนุมัติซ่อม บริษัทประกันภัยจะประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้น และให้ใบเคลม

เพื่อเป็นหลักฐาน โดยเงื่อนไขการจัดซ่อมขึ้นอยู่กับกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ที่เราได้ทำไว้นะคะ

อย่างไรก็ตามหากรถยนต์เสียหายหนักจนไม่อาจซ่อมแซมให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิมได้ เราก็สามารถเรียกร้องให้บริษัทประกันภัยรับผิดชอบเต็มจำนวนเงินที่ได้เอาประกันภัยไว้ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาจากบริษัทประกันภัยด้วยนะคะ[/vc_column_text][vc_single_image image=”312817″ img_size=”large” alignment=”center” image_hovers=”false”][vc_column_text]ซึ่งบริษัทประกันภัยจะมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาค่าสินไหมทดแทนจากน้ำท่วมออกเป็น 2 กรณีโดยพิจารณาจากความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงดังนี้

หลักเกณฑ์ในการพิจารณาค่าสินไหมทดแทนจากน้ำท่วม

1.กรณีรถยนต์โดนน้ำท่วมเสียหายอย่างสิ้นเชิง

คือ รถยนต์คันที่เอาประกันภัยได้รับความเสียหายจนไม่อาจซ่อมแซมให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิมได้ เครื่องยนต์ได้รับความเสียหายหรือรถยนต์เสียหายไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ของราคารถยนต์ในขณะเกิดความเสียหาย เช่น หากรถยนต์โดนน้ำท่วมมิดทั้งคัน หรือ น้ำท่วมเกินคอนโซลหน้าสร้างความเสียหายให้กับทั้งห้องโดยสาร เป็นต้น

การชดใช้ความเสียหายต่อรถยนต์ในกรณีที่รถยนต์เสียหายอย่างสิ้นเชิง บริษัทประกันภัยจะชดใช้ให้ตามทุนประกันภัยที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ โดยเจ้าของรถหรือผู้รับผลประโยชน์ต้องโอนกรรมสิทธิ์ (คืนซากรถ) ให้แก่บริษัทประกันภัยด้วย และกรมธรรม์ฉบับดังกล่าวก็ถือเป็นอันสิ้นสุดความคุ้มครองนะคะ

2.กรณีรถยนต์โดนน้ำท่วมได้รับความเสียหาย แต่ไม่ถึงกับเสียหายอย่างสิ้นเชิง

คือ รถยนต์ไม่เสียหายมากนักสามารถซ่อมแซมให้กลับมาอยู่ในสภาพใช้งานได้ตามเดิม บริษัทประกันภัยก็จะพิจารณาให้เป็นลักษณะความเสียหายบางส่วนเท่านั้น

ทั้งนี้เจ้าของรถและบริษัทประกันภัยตกลงให้มีการจัดซ่อม โดยที่บริษัทประกันภัยจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด ทั้งเครื่องยนต์กลไก รวมไปจนถึงการทำความสะอาดรถยนต์ในส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายเรื่องการซักพรม ทำความสะอาดภายในก็สามารถเคลมได้หมดนะคะ

คำถามที่ว่ารถโดนน้ำท่วมเสียหายประกันคุ้มครองไหม? สรุปแล้วมีความคุ้มครองนะคะ ใครที่ทำประกันภัยรถยนต์ไว้ก็ไม่ต้องกังวลใจไป เพราะถึงแม้เราไม่ได้แจ้งเคลมทันทีในขณะน้ำท่วม หลังน้ำลดแล้วค่อยแจ้งเคลมประกันภัยรถยนต์ก็จะให้ความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ที่ได้ซื้อไว้นะคะ

ส่วนประกันชั้นไหนจะคุ้มครองน้ำท่วมบ้าง? มาดูคำตอบกันค่ะ

ประกันชั้น 1 คุ้มครองน้ำท่วมค่ะ เพราะมีความคุ้มครองภัยธรรมชาติ ส่วนประกันภัยชั้นอื่น ไม่มีความคุ้มครองนะคะ นอกเหนือจากประกันชั้น 1 แล้ว มีประกันอีกแบบที่บริษัทประกันภัยจัดทำ เพื่อให้มีความคุ้มครองภัยพิเศษเพิ่มโดยเฉพาะความคุ้มครองน้ำท่วม เช่น ประกันภัยชั้น 2+,3+ ซึ่งเบี้ยประกันภัยจะมีราคาถูกกว่าเบี้ยประกันชั้น 1 แต่อาจจะมีความคุ้มครองที่น้อยกว่า และบางแบบประกันกันอาจแฝงมาพร้อมค่าเสียหายส่วนแรก (Deduct) ดังนั้นก่อนตัดสินใจซื้อควรตรวจสอบความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนตัดสินใจซื้อนะคะ

หวังว่าบทความนี้คงมีประโยชน์กับท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย ขอให้ทุกท่านขับขี่ปลอดภัยในทุกสภาวะการณ์เลยนะคะ และหากมีข้อซักถามหรือสนใจประกันภัยที่มีความคุ้มครองน้ำท่วม สามารถปรึกษาสอบถามน้องกันเองได้ตลอดเลยนะคะ น้องกันเองยินดีให้บริการค่ะ โทร.02-343-1000 facebook:: facbook/ProPrakan หรืออีกช่องทาง Line@proprakan

————————————————————————————————————

รวมบทความจาก

1.เคล็ด(ไม่)ลับ ขับรถลุยผ่านน้ำท่วมขัง อย่างไรไม่ให้รถพัง https://www.proprakan.com/ขับรถลุยผ่านน้ำท่วมขัง/

2.น้ำท่วมรถพังเคลมประกันได้หรือไม่? และมีขั้นตอนอย่างไร? https://www.proprakan.com/flood-you-can-claim-with-car-insurance/

3.ฝนตกถนนลื่นหากรถหมุนและลื่นไถล จะรับมืออย่างไร? https://www.proprakan.com/รถหมุน-ลื่นไถล/

4.รถถูก “น้ำท่วม” ประกันรถยนต์คุ้มครองอย่างไร? ประกันชั้นไหนคุ้มครองบ้าง? https://www.proprakan.com/รถถูกน้ำท่วม/[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row]

Comments are closed.