รู้หรือไม่ เคลมสด เคลมแห้ง คืออะไรและต่างกันอย่างไร

รู้หรือไม่ เคลมสด เคลมแห้ง คืออะไรและต่างกันอย่างไร

ประกันภัยรถยนต์นั้นแบ่งออกเป็นหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทมี ความคุ้มครองและเงื่อนไข ที่แตกต่างกันออกไป เช่น ประเภท 1 จะให้ความคุ้มครองมากที่สุดเรียกได้ว่าคุ้มครองให้ทุกกรณีเลยก็ว่าได้แต่ในส่วนของประเภท 2, 2+, 3+ และ ประเภท3 จะให้ความคุ้มครองที่รองลงมา เงื่อนไขและวงเงินความคุ้มครองก็ขึ้นอยู่กับกรมธรรม์ของแต่ละบริษัทประกันภัยกำหนด ซึ่งการทำประกันภัยรถยนต์ในแต่ละปีสิ่งที่คู่กันคงจะหนีไม่พ้นเรื่องของการเคลมประกันนั่นเอง เมื่อพูดถึงเรื่องการเคลมประกันหลายคนคงมีคำถามมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ใช่มั้ยคะ ไหนจะรูปแบบและขั้นตอนที่แตกต่างกันออกไป โดยการเคลมประกันนั้นจะแบ่งออกเป็น 2 กรณีคือ “เคลมสด” และ “เคลมแห้ง” ดูเป็นคำที่ไม่คุ้นหูเท่าไร วันนี้ทางโปรประกันจะมาไขคำตอบระหว่าง เคลมสด และ เคลมแห้งคืออะไร? แตกต่างกันอย่างไร? เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาไปดูกันเลยค่ะ

เคลมสด คือ

การแจ้งเคลมกับบริษัทประกันภัยที่ทำไว้โดยทันทีในกรณีที่รถเกิดอุบัติเหตุ จากนั้นจะมีเจ้าหน้าที่สำรวจภัย (surveyor) ออกมาตรวจสอบและเก็บหลักฐาน ณ จุดเกิดเหตุ ซึ่งจะทำการถ่ายรูปความเสียหายของรถคุณและรถคู่กรณีเอาไว้พร้อมสอบถามรายละเอียดว่าเกิดเหตุอย่างไรจากนั้นจะออกใบรับผิดชอบความเสียหายหรือที่เราเรียกกันส่วนใหญ่คือใบเคลมนั่นเอง

  • ยกตัวอย่างเหตุการณ์ นาย A ทำประกันภัยประเภท 1 ไว้กับบริษัทวิริยะประกันภัยต่อมาขับรถชนท้ายคู่กรณีได้รับความเสียหาย นาย A จึงไม่รีรอโทรแจ้งเคลมกับทางบริษัทวิริยะประกันภัยโดยทันที จากนั้นทางเจ้าหน้าที่สำรวจภัยได้ออกมาตรวจสอบความเสียหาย ณ จุดเกิดเหตุ พร้อมถ่ายรูปตัวรถและสอบถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับทางลูกค้าและคู่กรณี

     จากข้อมูลในข้างต้นจะเห็นได้ว่าการเคลมประเภทนี้ก็มีข้อดีเช่นกันนั่นคือความรวดเร็วในการดำเนินการและตรวจสอบหลักฐานเพราะในช่วงเวลาที่เราเกิดอุบัติเหตุแล้วโทรแจ้งทางบริษัทประกันภัยเลย จะทำให้เจ้าหน้าที่สำรวจภัย (surveyor) มีข้อมูลเพียงพอที่จะสามารถตรวจสอบได้เลยว่าเหตุการณ์นั้นได้เกิดขึ้นกับเราจริง อย่างไรก็ตามการเคลมสดนั้นจะสามารถใช้ได้กับประกันภัยประเภท 1, ประเภท 2+ และ ประเภท 3+ เท่านั้น นะคะ

 

เคลมแห้ง คือ

การแจ้งเคลมกับบริษัทประกันภัยที่ทำไว้หลังจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นผ่านไปแล้วโดยส่วนใหญ่จะเป็นความเสียหายเล็กๆน้อยๆไม่กระทบต่อระบบไฟและเครื่องยนต์ ซึ่งรถยังสามารถขับได้ตามปรกติ อาทิเช่น รอยขูดขีด,รอยครูด,รอยขนแมว หรือรอยหินกระเด็นใส่ ฯลฯ

  • ยกตัวอย่างเหตุการณ์ นาย B ทำประกันภัยประเภท 1 ไว้กับบริษัทกรุงเทพประกันภัยต่อมา ขับรถเบียดรั้วบ้านทำให้ประตูหน้า-หลังฝั่งซ้ายเป็นรอยครูดเสียหาย แต่ไม่ได้แจ้งเคลมภายในวันเนื่องจากไม่สะดวกติดธุระ ต่อมาวันรุ่งขึ้น นาย B จึงได้ติดต่อไปแจ้งเคลมกับทางกรุงเทพประกันภัยนัดช่วงเวลาและสถานที่ ที่สะดวกจากนั้นทางเจ้าหน้าที่สำรวจภัย (surveyor)ได้ออกมาตรวจสอบความเสียหายและออกใบเคลมให้

     จากเหตุการณ์ดังกล่าวจะเห็นได้ว่าการเคลมแห้งนั้นเป็นการเคลมแบบไม่มีคู่กรณีอีกทั้งความเสียหายจะค่อนข้างเล็กน้อยถึงปานกลางถ้าไม่แจ้งเคลมช่วงเวลานั้นรถก็ยังสามารถขับเคลื่อนได้อยู่แตกต่างจากเคลมสดที่ต้องมีคู่กรณีเกิดเหตุแล้วต้องเรียกประกันภัยมาตรวจสอบความเสียหาย ณ จุดเกิดเหตุเลย อย่างไรก็ตามการเคลมแห้งก็มีข้อจำกัดนะคะ สามารถใช้ได้กับประกันภัยประเภท 1 เท่านั้น และตามหลักเงื่อนไขของประกันภัยรถยนต์แล้วถ้ารอยแผลไม่ชัดเจน อาทิเช่น รอยครูด รอยขนแมว หรือ รอยขีดข่วนเล็กน้อย ทางประกันก็จะมีการเรียกเก็บค่าเสียหายส่วนแรก (EXCESS) จำนวน 1,000 ต่อเหตุการณ์ ซึ่งในแต่ละบาดแผลนั้นความเสียหายอาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์เดียวกันหรือคนละเหตุการณ์ก็ได้ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) กำหนดไว้ ดังนั้นการเคลมแห้งถือว่าเป็นการเคลมที่มีความยืดหยุ่นกับทางคนใช้รถอย่างเราเป็นอย่างมาก ลองคิดดูนะคะว่าถ้าเป็นช่วงเวลาเร่งด่วนการจราจรติดขัดอาจทำให้เราต้องใช้ระยะเวลารอประกันภัยนานพอสมควรซึ่งถ้าเป็นเคสเล็กน้อยแบบนี้เราสามารถติดต่อแจ้งประกันภัยนัดวัน-เวลา-สถานที่ ที่เราสะดวกจากนั้นก็ปล่อยเป็นหน้าที่ของบริษัทประกันภัยเข้ามาตรวจสอบความเสียหายและออกใบเคลมให้ค่ะ

     เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับข้อมูลการเคลมสด และ เคลมแห้ง โปรประกันหวังว่าคงเป็นประโยชน์กับทุกท่านได้มากพอสมควรเลย นอกจากความแตกต่างและขั้นตอนการเคลม ของทั้ง 2 แบบแล้ว ยังทราบข้อจำกัดของประเภทประกันที่จะสามารถใช้สิทธิ์เคลมแบบนี้ได้อีกด้วย อีกทั้งถ้าใครที่ไม่เคยแจ้งเคลมเลยหรือไม่ได้คลุกคลีกับประกันภัยรถยนต์มาก่อนคงจะลำบากแน่นอนค่ะ ในครั้งหน้าทางโปรประกันจะมีเรื่องราวอะไรดีๆมาฝาก อย่าลืมติดตามกันนะคะ