วิธีช่วยลดค่าเบี้ยประกันภัยรถยนต์

วิธีช่วยลดค่าเบี้ยประกันภัยรถยนต์

การลดค่าเบี้ยประกันอันดับแรกต้องดูก่อนว่ารถที่เราใช้คือรถยนต์สันดาปหรือรถยนต์ไฟฟ้า เพราะวิธีการลดค่าเบี้ยประกันของแต่ละประเภทจะไม่เหมือนกัน ซึ่งทางเราโปรประกันจะอธิบายให้ฟัง

การลดค่าเบี้ยประกันรถยนต์ ประเภทรถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถ EV

1.ส่วนลดประวัติดี ไม่เคลมฝ่ายผิด

ข้อนี้จะคล้ายกับประกันรถยนต์ของรถน้ำมันคือ ถ้าไม่เคลมกรณีที่เราเป็นฝ่ายผิด หรือไม่มีคู่กรณี เราจะได้ส่วนลดประวัติดีปีละ 10%

2.ส่วนลดพฤติกรรมผู้ขับขี่

เป็นส่วนที่เพิ่มเข้ามาในกรมธรรม์ของรถยนต์ไฟฟ้าจะ แตกต่างจากส่วนลดประวัติดีข้อที่ 1 (ข้อ 1 ประวัติติดที่รถยนต์) เพราะรถยนต์ไฟฟ้าจะต้องระบุผู้ขับขี่ซึ่งประวัติของผู้ขับจะถูกบันทึกไว้ ถ้าเราเป็นคนที่ขับขี่ได้ดีไม่เคลมฝ่ายผิดจะได้ส่วนลดค่าเบี้ยทุกปี และสะสมได้สูงสุดที่ 40%

ซึ่งทั้ง 2 ข้อนี้สามารถเป็นส่วนลดรวมกันได้ โดยส่วนลดประวัติดีสูงสุดอยู่ที่ 40% และส่วนลดพฤติกรรมการขับขี่จะอยู่ที่ 40% เพียงแค่นี้ก็สามารถลดค่าเบี้ยประกันไปได้เยอะมากเลย

การลดค่าเบี้ยประกันรถยนต์ ประเภทรถสันดาปหรือรถน้ำมัน

1.ระบุชื่อผู้ขับขี่

ถ้ารถคันนี้เราขับคนเดียวหรือมีคนอื่นขับร่วมกันสามารถซื้อประกันแบบระบุชื่อผู้ขับขี่ก็ถือว่าช่วยลดเบี้ยประกันได้ถึง 1000-2000 บาทเลยทีเดียวส่วนการรุบะชื่อผู้ขับขี่นั้นสามารถระบุชื่อคนขับได้สูงสุด 2 คน ซึ่งการคำนวณส่วนลดค่าประกันจะคำนวณจากอายุของผู้ขับขี่ หากระบุผู้ขับขี่ 2 คน ก็จะใช้อายุของคนที่น้อยที่สุดในการคำนวณ เนื่องจากคนที่อายุน้อยกว่าจะมีประสบการณ์ขับขี่ที่น้อยกว่าคนที่อายุมากนั่นเอง

ดังนั้นหากเราขับขี่รถแค่คนเดียวหรือขับร่วมกับแฟนหรือคนในครอบครัวเป็นประจำวิธีนี่ก็จะเหมาะกันกับเราและตอบโจทย์ในการซื้อประกันเป็นอย่างมาก

แต่การซื้อประกันแบบระบุชื่อก็มีความเสี่ยงอยู่เหมือนกัน ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่คนอื่นที่เราไม่ได้ระบุชื่อนำรถเราไปขับขี่และเกิดชนขึ้นมาประกันจะเรียกเก็บค่าเสียหายส่วนแรกถึงจำนวน 8,000 บาท โดยแบ่งเป็นค่าเสียหายที่ชนรถคู่กรณี 2,000 บาท และค่ารับผิดชอบซ่อมรถเราอีก 6,000 บาท เพราะถือว่าทำผิดเงื่อนไขประกัน ดังนั้นการที่เราจะใช้ประกันแบบระบุชื่อต้องมั่นใจว่าเราเป็นผู้ขับขี่หรือคนที่ระบุขับเป็นประจำแน่อยู่แล้ว ไม่แนะนำให้ระบุชื่อเพราะถึงเราได้ลดค่าประกันก็จริง แต่ถ้าทำผิดเงื่อนไขขึ้นมาก็จะทำให้เสียเงินเพิ่มขึ้นไปอีก

2.ติดค่าเสียหายส่วนแรก (Deductible)

เป็นการซื้อประกันที่มีการติด DD (Deductible) ในหน้ากรมธรรม์ โดยเงื่อนไขของกรมธรรม์ประเภทนี่มีเงื่อนไขอยู่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราเกิดอุบัติเหตุไม่ว่าจะเป็นฝ่ายผิด หรือไม่มีคู่กรณีจะต้องจ่ายค่า DD ตามที่ระบุไว้หน้ากรมธรรม์ ให้กับประกันภัยก่อนทุกครั้งที่มีการเคลม ซึ่งค่า DD ที่ติดหน้ากรมธรรม์ก็จะมีจำนวนที่แตกต่างกันไปประมาน 2,000-5,000 แล้วแต่เงื่อนไขของบริษัทประกันภัย ดังนั้นถ้าเราจะซื้อประกันภัยแบบติดค่าเสียหายส่วนแรกต้องมั่นใจในการขับขี่ของตัวเองเป็นอย่างมากว่าเราจะไม่ชนใครหรือไม่เคลมอุบัติเหตุเลย ถ้าหากมั่นใจในการขับขี่ก็สามารถซื้อเงื่อนไขนี้ได้เลย

3.การเลือกประเภทซ่อม

ประกันรถยนต์จะมีประเภทการซ่อม 2 ประเภทคือ ซ่อมอู่กับซ่อมศูนย์ ซึ่งค่าเบี้ยประกันของการซ่อมศูนย์บริการจะมีค่าเบี้ยที่มากกว่า ซ่อมอู่ แต่การซ่อมศูนย์จะได้มาตฐานของศูนย์บริการและความน่าเชื่อถือ ซึ่งข้อนี้อยู่ที่การพิจารณาของเรานะ

4. ไม่เคลม(รักษาประวัติดี)

หัวข้อนี้อาจจะทำได้ยากสำหรับบางท่านที่เป็นมือใหม่หัดขับ เพราะการรักษาประวัติดีไม่มีเคลม จะทำให้เบี้ยประกันภัยลดลงทุกปีหมายความว่าค่าเบี้ยเราจะถูกลงเรื่อยๆ ตามประวัติที่สะสมปีละ 10% สะสมไปเรือยๆ ซึ่งถ้าเราสามารถขับขี่รถด้วยความระมัดระวังได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเพราะนอกจากเบี้ยประกันภัยจะลดลงแล้วก็จะทำให้อุบัติเหตุลดลงอีกด้วย ส่วนการไม่เคลม คือการแจ้งเคลมป็นฝ่ายผิดหรือเคลมไม่มีคู่กรณี ทั้งเคลมสดและเคลมแห้ง

  • เคลมสด คือการเคลมที่เกิดเหตุ ณ ตอนนั้นและแจ้งเคลมกับประกันภัยเพื่อให้ประกันภัยตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้น
  • เคลมแห้ง คือเคลมที่ไม่มีพนักงานเคลมไปดูร่องรอยความเสียหาย ซึ่งอาจจะเคลมแบบไม่มีคู่กรณีก็ได้เช่น เฉี่ยวรั่ว ชนเสา รอยเล็กๆน้อยๆที่ไม่จำเป็นต้องแจ้งเคลมประกัน ณ ตอนนั้น เราสามารถแจ้งเคลมประกันตอนหลังเหตุการนั้นได้ โดยสามารถเปิดเคลมเองที่อู่หรือศูนย์คู่สัญญาของประกันภัยได้ด้วยตนเอง

ดังนั้นการเคลมทั้ง 2 รูปแบบนี้ส่งผลให้เกิดการประเมินความเสียหายขึ้น ทำให้ประกันภัยมีการปรับเบี้ยประกันภัยในปีต่ออายุครั้งหน้า ซึ่งถ้าหากเราสามารถขับขี่ด้วยความระมัดระวังได้เบี้ยประกันภัยก็จะลดทุกปีไปเรื่อยๆซึ่งถือว่าเป็นการช่วยลดค่าเบี้ยประกันและค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างมาก

5.ซื้อให้ตรงกับลักษณะการใช้รถ

คือการซื้อประกันภัยตามความเหมาะสมต่อการใช้รถหรือลักษณะการใช้งานของเรานั่นเอง หากรถเราใช้มานานแล้ว 7 ปีขึ้นไป แล้วมีความชำนาญในการขับขี่รวมถึงไม่ได้ใช้รถยนต์บ่อยมากนักเราอาจจะเลือกเป็นประกันประเภท 2+ หรือ 3+ ก็ได้ แต่หากรถเรายังใหม่ หรือยังขับขี่ไม่ชำนาญมากเราควรเลือกเป็นประกันชั้น 1 ที่มีความคุ้มครองมากกว่า

6. การลดทุนประกัน

การลดทุนประกันก็เป็นการช่วยลดค่าเบี้ยได้เช่นกัน เพียงแต่เป็นข้อแนะนำที่อาจจะต้องพิจารณากันหน่อย เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน รถเสียหายพังทั้งคัน (Claim loss) เราจะได้เงินตามทุนประกันที่ทำไว้ซึ่งจะน้อยกว่ามูลค่าของตัวรถยนต์

7.ติดกล้องรถยนต์

การติดกล้องหน้ารถก็มีส่วนในการช่วยลดค่าเบี้ยประกันได้เช่นกันสูงสุดที่ 10%

ตามบทความข้างต้นเป็นแค่วิธีการที่ทาง Proprakan แนะนำเท่านั้นอาจไม่ใช่ปัจจัยทั้งหมดที่ทำช่วยลดราคาเบี้ยประกันภัย แต่สิ่งที่ Proprankan อยากให้เพื่อนๆคำนึงถึง การซื้อตามลักษณะการใช้งานและตามกำลังซื้อของเรา ก่อนจะตัดสินใจซื้อเราควรศึกษาข้อมูลของประกันภัยแต่ละบริษัทเงื่อนไขของการรับประกัน เพราะบางครั้งการที่เราซื้อค่าเบี้ยประกันที่ถูกมากเกินไปอาจจะมีเงื่อนไขบางอย่างที่เรายังไม่ได้ศึกษาทั้งนี้เพื่อเราจะได้ ซื้อประกันภัยแบบปลอดภัยและเหมาะสมกับการใช้งาน และจะดีไปกว่านั้นหากเราซื้อผ่านตัวแทนหรือเว็บไซค์ที่น่าเชื่อถือและมีความเชี่ยวชาญด้านการให้บริการและเป็นกูรูในเรื่องประกันภัย