ประกันรถยนต์ชั้น 2+ Auto Saver

ประกันรถยนต์ชั้น 2+ คือ ประกันภาคสมัครใจที่มีความคุ้มครองที่ครอบคลุมรองลองมาจากประกันรถยนต์ชั้น 1 (ดูความคุ้มครองประกันรถยนต์ชั้น 1 ได้จากที่นี้) ทำให้ประหยัดค่าเบี้ยแต่ยังได้ความคุ้มครองเยอะอยู่ จึงได้รับความนิยมกับกลุ่มคนที่ใช้รถมาหลายปีแล้ว ซึ่งความคุ้มครองของประกันชั้น 2+ นั้นจะมีความคุ้มครอง 

• คุ้มครองกรณีรถชนรถเท่านั้น (ยานพาหนะทางบก)

• ดูแล รถสูญหาย รถไฟไหม้

• คุ้มครองทั้งชีวิต และร่างกายทั้ง 2 ฝ่าย

• ไม่มีค่าเสียหายส่วนแรก คุ้มครองรถชนรถ (ยานพาหนะทางบก)

• ความคุ้มครองพิเศษ : ภัยน้ำท่วม, ภัยโจรกรรมทรัพย์สินในรถยนต์, เงินชดเชยค่าเดินทางระหว่างรถยนต์เข้าซ่อม,ภัยก่อการร้าย, บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน

1.ระบุชื่อผู้ขับขี่

ถ้ารถคันนี้เราขับคนเดียวหรือมีคนอื่นขับร่วมกันสามารถซื้อประกันแบบระบุชื่อผู้ขับขี่ก็ถือว่าช่วยลดเบี้ยประกันได้ถึง 1000-2000 บาทเลยทีเดียวส่วนการรุบะชื่อผู้ขับขี่นั้นสามารถระบุชื่อคนขับได้สูงสุด 2 คน ซึ่งการคำนวณส่วนลดค่าประกันจะคำนวณจากอายุของผู้ขับขี่ หากระบุผู้ขับขี่ 2 คน ก็จะใช้อายุของคนที่น้อยที่สุดในการคำนวณ เนื่องจากคนที่อายุน้อยกว่าจะมีประสบการณ์ขับขี่ที่น้อยกว่าคนที่อายุมากนั่นเอง

2.ติดค่าเสียหายส่วนแรก (Deductible)

เป็นการซื้อประกันที่มีการติด DD (Deductible) ในหน้ากรมธรรม์ โดยเงื่อนไขของกรมธรรม์ประเภทนี่มีเงื่อนไขอยู่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราเกิดอุบัติเหตุไม่ว่าจะเป็นฝ่ายผิด หรือไม่มีคู่กรณีจะต้องจ่ายค่า DD ตามที่ระบุไว้หน้ากรมธรรม์ ให้กับประกันภัยก่อนทุกครั้งที่มีการเคลม

3. อะไหล่

หากเราเข้าซ่อมที่อู่ อู่จะเป็นผู้จัดหาอะไหล่ เราไม่สามารถเช็คได้ว่าอะไหล่เป็นอะไหล่แท้หรืออะไหล่ใหม่หรือไม่ ต่างกับการจัดซ่อมศูนย์เพราะศูนย์เป็นผู้จำหน่ายอะไหล่ก็จะทำให้เรามั่นใจได้ว่าอย่างไร อะไหล่ก็ต้องเป็นอะไหล่ใหม่และอะไหล่แท้แน่นอน

4. ไม่เคลม(รักษาประวัติดี)

หัวข้อนี้อาจจะทำได้ยากสำหรับบางท่านที่เป็นมือใหม่หัดขับ เพราะการรักษาประวัติดีไม่มีเคลม จะทำให้เบี้ยประกันภัยลดลงทุกปีหมายความว่าค่าเบี้ยเราจะถูกลงเรื่อยๆ ตามประวัติที่สะสมปีละ 10% สะสมไปเรือยๆ ซึ่งถ้าเราสามารถขับขี่รถด้วยความระมัดระวังได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเพราะนอกจากเบี้ยประกันภัยจะลดลงแล้วก็จะทำให้อุบัติเหตุลดลงอีกด้วย ส่วนการไม่เคลม คือการแจ้งเคลมป็นฝ่ายผิดหรือเคลมไม่มีคู่กรณี ทั้งเคลมสดและเคลมแห้ง

5.ซื้อให้ตรงกับลักษณะการใช้รถ

คือการซื้อประกันภัยตามความเหมาะสมต่อการใช้รถหรือลักษณะการใช้งานของเรานั่นเอง เช่น การซื้อประกันตามไมล์ เนื่องจากรถไม่ค่อยได้ขับขี่ หรือนานๆ ขับที จะเลือกซื้อประกันภัยประเภทนี้เป็นการช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายเพราะเราซื้อตามจำนวนระยะทางที่ใช้รถเท่านั้นราคาก็จะลดลงมามากมากว่าชั้น 1